สัตว์ป่าสงวน
สัตว์ป่าสงวน หมายถึง สัตว์ป่าหายาก 15 ชนิด ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 ได้แก่ กระซู่
เลียงผา สมัน นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร กูปรี นกกระเรียน นกแต้วแล้วท้องดำ ควายป่า
แมวลายหินอ่อน กวางผา เก้งหม้อ สมเสร็จ แรด พะยูน ละองหรือละมั่ง
ข้อห้ามข้อบังคับบางประการจากพระราชบัญญัติฉบับนี้ที่ควรทราบมีดังนี้
กระซู่
ชื่อสามัญ : Sumatran Rhinoceros
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dicermocerus sumatraensis
ชื่ออื่น : แรดสุมาตรา
เป็นแรดพันธุ์เล็กที่สุดในบรรดาแรด 5 ชนิดของโลก มี 2 นอ ความสูงที่ระดับไหล่ 1.0 - 1.4 เมตร น้ำหนัก 900-1,000 กก. มีขนปกคลุมทั้งตัว
ปีนเขาเก่ง มีประสาทในการรับกลิ่นดีมาก เมื่อพบสิ่งกีดขวางจะไม่ข้าม
แต่มักใช้หัวดันให้พ้นทางเดิน ชอบกินกิ่งไม้ ใบไม้และผลไม้ ตกลูกครั้งละ 1 ตัว ตั้งท้องนานประมาณ 7-8 เดือน ปัจจุบันหายากมาก
คาดว่าจะพบได้ในบริเวณป่าทึบตามแนวพรมแดนไทย-พม่า และชายแดนไทย-มาเลเซีย
รายงานล่าสุดในปี พ.ศ.2539 พบรอยเท้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ
นอกจากนี้ยังมีกระจัดกระจายตามป่าต่าง ๆ แห่งละตัวสองตัว เช่น แก่งกระจาน
จังหวัดเพชรบุรี ห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี ฮาลาบาลา จังหวัดนราธิวาส เขาสก
จังหวัดสุราษฎร์ธานี
|
เลียงผา
ชื่อสามัญ : Serow
ชื่อวิทยาศาสตร์:Capricornis sumatraensis
เป็นสัตว์กีบคู่ มีเขาจำพวกแพะ ความสูงที่ระดับไหล่ 85-94 ซ.ม. น้ำหนักประมาณ 85-140 กก.
อาศัยอยู่ตามภูเขาที่มีหน้าผาหรือถ้ำ
สามารถเคลื่อนที่ในที่สูงชันอย่างว่องไวและปราดเปรียวมาก สามารถว่ายน้ำข้ามระหว่างเกาะกับแผ่นดินได้
มีอวัยวะรับสัมผัส ทั้งตา หู และจมูกดี กินพืชที่ขึ้นอยู่ตามที่สูง ตกลูกครั้งละ 1 ตัว ตั้งท้องนาน 7-8 เดือน ปัจจุบันลดจำนวนลงไปมากเนื่องจากถูกล่าเพื่อเอาเขาและทำน้ำมันเลียงผา
|
สมัน
ชื่อสามัญ : Schomburgk’s
Deer
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cervus
schomburgki
ชื่ออื่น : เนื้อสมัน
เป็นกวางขนาดกลาง ความสูงระดับไหล่ 1 เมตร ได้ชื่อว่ามีเขาสวยที่สุด
การแตกแขนงของเขาเมื่อโตเต็มวัยจะมีลักษณะคล้ายสุ่มที่หงายขึ้น จึงเรียกว่า
"กวางเขาสุ่ม" ชอบกินยอดหญ้าอ่อน ผลไม้ และใบไม้ อยู่รวมกันเป็นฝูงเล็ก
ๆ อาศัยอยู่เฉพาะที่ราบต่ำในภาคกลางของประเทศไทยเท่านั้น โดยเฉพาะบริเวณรอบ ๆ
กรุงเทพฯ ปทุมธานี อยุธยา สมุทรปราการ สมันได้สูญพันธุ์ไปโดยสมบูรณ์เมื่อราวปี 2475 แม้แต่สมันตัวสุดท้ายของโลกก็ตายด้วยมือของมนุษย์
|
นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร
ชื่อสามัญ : White-eyed
River-Martin
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Pseudochelidon
sirintarae
ชื่ออื่น : นกเจ้าฟ้า
เป็นนกนางแอ่นชนิดหนึ่ง ขนาดวัดจากปลายจงอยปากถึงโคนหางยาวประมาณ 15 ซม. พบครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ.2511 บริเวณบึงบรเพ็ด
จ.นครสวรรค์ เพียงแห่งเดียวในโลกและไม่พบที่อื่นอีกเลย เป็นนกที่อพยพมาในฤดูหนาว
ส่วนในฤดูอื่นเชื่อว่าจะอยู่บริเวณต้นแม่น้ำปิง ชอบเกาะนอนในพงหญ้า
นอนอยู่รวมกับฝูงนกนางแอ่นชนิดอื่น ๆ ตามใบอ้อ และใบสนุ่น โฉบจับแมลงเป็นอาหาร
ปัจจุบันเชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว
ชื่อสามัญ : Kouprey
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Bos
sauveii
ชื่ออื่น : วัวเขาเกลียว(ลาว) โคไพร
เป็นสัตว์ป่าตระกูลเดียวกับกระทิงและวัวแดง ความสูงที่ระดับไหล่ 1.7-1.9 เมตร น้ำหนักประมาณ 700-900 กก. อยู่รวมกันเป็นฝูง 2-20 ตัว มีลักษณะพิเศษคือ ตัวผู้ที่โตเต็มที่มักจะมีปลายเขาที่แตกเป็นพู่
เนื่องจากมันชอบใช้เขาแทงดินเพื่องัดหาอาหารกิน
ส่วนตัวเมียมีเขาลักษณะเป็นวงเกลียว ชอบกินหญ้า ใบไม้ ตกลูกครั้งละ 1 ตัว ตั้งท้องนาน 9-10 เดือน พบในไทย ลาว เขมร
และเวียดนามเท่านั้น ข้อมูลเกี่ยวกับกูปรีมีน้อยและยังถูกล่าอยู่เสมอเพราะเขามีราคาสูงมาก
เป็นที่ต้องการของนักสะสม มีแนวโน้มว่าจะสูญพันธุ์ได้
|
นกกระเรียน
ชื่อสามัญ : Sarus Crane
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Grus
antigone sharpie
ชื่ออื่น : -
อยู่ในตระกูลนกบินได้ขนาดใหญ่ที่สุด
สูงประมาณ 150 ซม. พบตามหนอง บึง และท้องทุ่ง
หากินเป็นคู่และกลุ่มครอบครัว จับคู่แบบผัวเดียวเมียเดียว กินแมลง สัตว์เลื้อยคลาน
สัตว์น้ำ เมล็ดพืช และต้นอ่อนของพืชน้ำ ปัจจุบันไม่พบในประเทศไทยเพราะถูกล่า
และแหล่งที่อยู่อาศัยถูกทำลาย แต่ยังพบในประเทศลาวและเขมร
นกแต้วแล้วท้องดำ
ชื่อสามัญ : Gurney's Pitta
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Pitta
gurney
ชื่ออื่น : -
ขนาดลำตัววัดจากจงอยปากถึงโคนหางยาว 21 ซม. อาศัยอยู่เฉพาะในป่าดิบที่ราบต่ำ ชอบทำรังบนกอระกำ และกอหวาย
ซึ่งมีหนามแหลม ชอบกินไส้เดือน ส่งเสียกร้อง "วัก วัก"
เพื่อประกาศอาณาเขตและร้องหาคู่ ส่งเสียงร้อง "แต้ว แต้ว" ขณะตกใจ
ฤดูผสมพันธุ์เริ่มเดือนพฤษภาคม ปัจจุบันพบแห่งเดียวในโลก
ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาประ-บางคราม (เขานอจู้จี้) จ.กระบี่
คาดว่าเหลืออยู่ไม่เกิน 100 ตัว
และมีแนวโน้มว่าจะสูญพันธุ์ในไม่ช้าเนื่องจาก
ถิ่นที่อยู่กำลังถูกบุกรุกอย่างรุนแรง
|
ควายป่า
ชื่อสามัญ : Wild Water
Buffalo
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Bubalus
bubalis
ชื่ออื่น : มหิงสา
เป็นบรรพบุรุษของควายบ้าน ขนาดของลำตัวใหญ่กว่าควายบ้าน
รอบคอด้านหน้ามีรอยสีขาวเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวหงายอยู่ เรียกว่า
"รอยเชียดคอ" ขาทั้งสี่มีสีขาวเหมือนใส่ถุงเท้า
แต่ในธรรมชาติมักไม่เห็นถุงเท้านี้
เพราะควายป่าชอบแช่และลุยปลักโคลนจนถุงเท้าเปื้อนไปหมด ความสูงที่ระดับไหล่ 1.6-1.9 เมตร น้ำหนักถึง 800-1,200 กก. แต่ปราดเปรียวมาก
ชอบนอนแช่ปลักให้ดินโคลนพอกลำตัวเพื่อป้องกันแมลงรบกวน มีนิสัยชอบอยู่เป็นฝูง
เมื่อบาดเจ็บจะดุร้ายมาก กินใบไม้ หญ้า และหน่อไม้ ตกลูกครั้งละ 1 ตัว ตั้งท้องนานประมาณ 10 เดือน
ปัจจุบันพบบริเวณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จ.อุทัยธานี เท่านั้น
แมวลายหินอ่อน
ชื่อสามัญ : Marbled Cat
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Pardofelis
marmorata
ชื่ออื่น : -
ชื่ออื่น : -
เป็นแมวป่าขนาดกลาง น้ำหนักประมาณ 4-5 กก. อยู่ในป่าดงดิบและป่าดิบชื้น ชอบอยู่บนต้นไม้ หากินในเวลากลางคืน
อาหารได้แก่ แมลง งู นก หนู และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก ปัจจุบันหายากมาก
มีรายงานพบเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น เช่น เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง
อุทยานแห่งชาติปางสีดา อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และอุทยานแห่งชาติทับลาน
|
กวางผา
ชื่อสามัญ : Goral
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Naemorhedus
griseus
ชื่ออื่น : ม้าเทวดา
มีลักษณะคล้ายแพะ ความสูงที่ระดับไหล่ 50-70 ซม.
น้ำหนักประมาณ 20-32 กก.
มีขาแข็งแรงสามารถกระโดดตามชะง่อนผาได้อย่างว่องไวและแม่นยำ พบตามยอดเขาสูงชัน
สูงจากระดับน้ำทะเลมากกว่า 1,000 เมตร
ซึ่งมีอากาศหนาวเย็นเกือบตลอดปี อาหารได้แก่ พืชตามสันเขาและหน้าผาหิน
ตกลูกครั้งละ 1 ตัว ตั้งท้องนาน 6-8 เดือน อายุประมาณ 8-10 ปี ปัจจุบันเหลืออยู่จำนวนน้อย
พบบริเวณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่ตื่น จ.ตาก
|
เก้งหม้อ
ชื่อสามัญ : Fea’s Barking
Dee
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Muntiacus
feai
ชื่ออื่น : เก้งดำ, กวางจุก
เป็นเก้งที่มีสีคล้ำกว่าเก้งธรรมดา
ทางด้านบนสีดำตัดกับสีขาวด้านล่างชัดเจน บริเวณโคนเขามีขนยาวแน่นและฟูเป็นกระจุก
ชอบอาศัยอยู่เดี่ยว ๆ ในป่าดงดิบตามลาดเขา
จะอยู่เป็นคู่เฉพาะในฤดูผสมพันธุ์เท่านั้น กินใบไม้ หญ้าและผลไม้ ตกลูกครั้งละ 1 ตัว ตั้งท้องนาน 6 เดือน
พบบริเวณชายแดนไทย-พม่า และในภาคใต้ของไทย เป็นสัตว์ในตระกูลกวางที่หายากที่สุดชนิดหนึ่งของโลก
สมเสร็จ
ชื่อสามัญ : Malayan Tapir
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Tapirus
indicus
ชื่ออื่น : ผสมเสร็จ
เป็นสัตว์หากินกลางคืน น้ำหนักประมาณ 250-300 กก. มีประสาทสัมผัสทางกลิ่นและเสียงดีมาก มีจมูกเหมือนงวงช้าง
รูปร่างเหมือนหมู เท้าเหมือนแรด จึงเรียกว่าผสมเสร็จหรือสมเสร็จ
มักหากินตามที่รกทึบ ตกลูกครั้งละ 1 ตัว ตั้งท้องนาน 13 เดือน พบบริเวณป่าชายแดนไทย-พม่า ตลอดลงไปจนถึงภาคใต้ของไทย
แรด
ชื่อสามัญ : Javan Rhinoceros
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Rhinoceros
sondaicus
ชื่ออื่น : แรดชวา
มีนอเดียว ความสูงที่ระดับไหล่ 1.70-1.75 เมตร น้ำหนัก 1,500-2,000 กก. ชอบนอนในปลัก โคลนตม
หนองน้ำ เพื่อไม่ให้ถูกแมลงรบกวน
มีสายตาไม่ค่อยดีนัก แต่ประสาทสัมผัสในการรับกลิ่นดีมาก ชอบกินยอดไม้
ใบไม้และผลไม้ ตกลูกครั้งละ 1 ตัว ตั้งท้องนาน 16 เดือน อาศัยอยู่ในป่าทึบ โดยเฉพาะบริเวณที่มีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์
ครั้งหนึ่งเคยมีพบในบริเวณป่าชายแดนไทย พม่า ลงไปทางใต้
แต่ไม่มีใครพบแรดในธรรมชาติในเมืองไทยเป็นเวลากว่า 30 ปีแล้ว ประชากรแรดในประเทศอื่น ๆ ก็อยู่ในภาวะคล้ายคลึงกัน
ปัจจุบันยังมีเหลือแรดอยู่ในธรรมชาติเพียง 20-30 ตัวเท่านั้น
โดยอยู่ในอุทยานแห่งชาติแห่งหนึ่งในประเทศเวียดนาม
|
|
พะยูน
ชื่อสามัญ : Dugong
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dugong
dugon
ชื่ออื่น : หมูน้ำ, ปลาพะยูน
สัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนม น้ำหนักประมาณ 300 กก. ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง กินหญ้าทะเลตามบริเวณน้ำตื้นใกล้ชายฝั่ง ออกลูกครั้งละ 1 ตัว ตั้งท้องนาน 1 ปี
ลดจำนวนลงมากเพราะติดอวน และหญ้าทะเลซึ่งเป็นแหล่งอาหารสำคัญถูกทำลาย
ปัจจุบันพบอยู่บริเวณเกาะลิบงและหาดเจ้าไหม จ.ตรัง ประมาณ 40-50 ตัว
|
ละอง, ละมั่ง
ชื่อสามัญ : Eld's Deer
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cervus
eldi
ชื่ออื่น : -
ละอง เป็นชื่อเรียกตัวผู้ ส่วนละมั่งเป็นชื่อเรียกตัวเมีย
ความสูงที่ระดับไหล่ 1.2
- 1.3 เมตร
หนักประมาณ 95-150 กก.
ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงเล็ก ๆ ออกหากินทั้งกลางวันและกลางคืน กินใบไม้ ใบหญ้า
และผลไม้เป็นอาหาร ตกลูกครั้งละ 1 ตัว ตั้งท้องประมาณ 7-8 เดือน มีสองชนิดย่อย คือC. e. thamin และ C.
e. siamensis ปัจจุบันละองและละมั่งได้สูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติของไทยไปแล้ว
แต่คาดว่ายังมีเหลืออยู่ตามบริเวณเทือกเขาพนมดงรัก ชายแดนไทย-กัมพูชา
และบริเวณเทือกเขาตะนาวศรีชายแดนไทย-พม่า
สัตว์ป่าสงวนทั้ง 15 ชนิดที่บล็อกเกอร์ได้ให้ข้อมูล
ผู้อ่านก็อาจเข้าใจได้ว่ายังมีอยู่ในประเทศไทยครบทั้ง 15 ชนิด
แต่เปล่าเลยค่ะ ถ้าผู้อ่านอ่านอย่างละเอียดจะทราบว่า
ได้มีข้อความเขียนว่าพบครั้งสุดท้ายเมื่อไร ซึ่งย้อนไปนานหลายสิบปีแล้วและก็ไม่เคยมีใครได้พบสัตว์ป่าสงวนบางชนิดอีก
ดังเช่น กระซู่ สมัน นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร กูปรี แรด และละมั่ง
บล็อกเกอร์จึงอยากให้ผู้อ่านมีความตระหนักถึงว่าถึงมนุษย์จะตั้งให้สัตว์เหล่านี้เป็นสัตว์ป่าสงวน
แต่ทำไมสัตว์ป่าเหล่านี้จึงสูญพันธุ์
ลองคิดดูแล้วก็ล้วนมาจากการกระทำของมนุษย์ทั้งหมดแหละค่ะ สัตว์ป่าเหล่านี้อยู่กับมนุษย์มาตั้งแต่บรรพบุรุษของเราอย่างยาวนาน
แต่เมื่อเรามีความเจริญมากขึ้น เรากลับทำร้ายพวกมันทั้งทางตรงและทางอ้อม
คำถามคือถ้าสัตว์ป่าสงวนพวกนี้สูญพันธุ์ไปทั้งหมด มนุษย์อย่างพวกเราจะเดือดร้อนไหม
คำตอบมีหลากหลายขึ้นอยู่กับความคิดของแต่ละคนเลยค่ะ แต่บล็อกเกอร์อยากทิ้งท้ายให้ผู้อ่านได้คิดตามว่า
“ เราจะเห็นค่าของสิ่งที่มีอยู่ เมื่อเราสูญเสียมันไปแล้ว
” เราจะต้องรอให้สูญเสียมันไปจริงๆแล้วค่อยสำนึกได้มันควรแล้วหรือ
บล็อกเกอร์เชื่อว่า จิตสำนึก คุณค่าของความเป็นมนุษย์ที่พึงมีต่อสัตว์ป่าสงวนเหล่านี้ของเราทุกคนยังคงมีหลงเหลืออยู่อีกไม่มากก็น้อย
หากพวกเรายังไม่ได้ทำอะไรให้กับสัตว์เหล่านี้ เริ่มต้นวันนี้ยังไม่สาย
หากเรามีสำนึกอนุรักษ์สัตว์ป่าสงวน และร่วมกันส่งเสริมประชาสัมพันธ์ให้เพื่อนสนิท
คนใกล้ชิด เห็นคุณค่า และรณรงค์เพื่อให้สัตว์ป่าสงวนเหล่านี้คงอยู่กับพวกเราสืบไป
เครดิต:
|
|
คนเราควรตระหนักถึงคุณค่าชีวิตของสัตว์ให้มากเท่ากับคุณค่าชีวิตตนนะคะ โลกคงน่าอยู่ขึ้นเยอะเลยค่ะ
ตอบลบ